Digital Marketing คืออะไร ต่างจาก Traditional Marketing อย่างไร?
Digital Marketing คืออะไร และต่างจาก Traditional Marketing อย่างไร? หนึ่งในคำถามที่นักการตลาดจำนวนไม่น้อยยังสงสัย การตลาดออฟไลน์ กับ การตลาดออนไลน์ ต่างกันอย่างไร บทความวันนี้จะสรุป 5 ความต่างสำหรับระหว่าง Traditional Marketing กับ Digital Marketing มาให้ดูกันครับ
Traditional Marketing หรือการตลาดออฟไลน์แบบโลกเก่า คือการตลาดที่ใช้สื่อช่องทางดั้งเดิมที่เคยมีมา อย่างสื่อสิ่งพิมพ์ ทีวี และวิทยุ เป็นต้น ส่วน Digital Marketing หรือการตลาดออนไลน์ หรืออาจเรียกว่าการตลาดดิจิทัล ซึ่งก็ต่างกันตรงสื่อที่ใช้ เริ่มต้นจากอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย แอปมือถือ และอื่นๆ อีกมากมาย และนี่ก็เป็น 5 ความต่างสำคัญระหว่างการตลาดออฟไลน์ กับการตลาดออนไลน์ หรือการตลาดดิจิทัลครับ
1. Reach เข้าถึงได้ทั่วโลก
การตลาดออฟไลน์ หรือ Traditional Marketing นั้นจะจำกัดการเข้าถึงผู้คนได้ไม่เท่าหรือไม่สู้กับการตลาดออนไลน์หรือ Digital Marketing ครับ
เพราะสื่อออฟไลน์จะติดข้อจำกัดของสถานที่ในโลกจริง ส่วนสื่อออนไลน์นั้นสามารถกระจายไปได้ทุกที่ทั่วโลก สามารถเข้าถึงผู้คนได้ทั่วโลก ผิดกับสื่อออฟไลน์ที่อยู่ตรงไหนก็จะเข้าถึงได้เฉพาะคนในพื้นที่นั้น
2. Targeting กำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
การตลาดแบบออนไลน์นั้นสามารถเข้าถึงใครก็ได้ หรือเลือกเข้าหาแค่ใครก็ได้ ซึ่งประเด็นสำคัญอยู่ตรงการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเข้าถึงได้อย่างชัดเจนและแม่นยำมากๆ ผิดกับการตลาดออฟไลน์ หรือสื่อออฟไลน์ที่เข้าถึงได้แค่คนในละแวกพื้นที่นั้น หรือคนที่รับสื่อสิ่งพิมพ์นั้นเป็นประจำ
เราไม่สามารถกำหนดให้โฆษณาที่ลงในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ให้คนเห็นเป็นแค่ผู้หญิงที่มีลูกอายุหกเดือนเห็นเท่านั้น ผิดกับสื่อออนไลน์ที่สามารถกำหนดเลือกได้ชัดเจน ใครยิงแอดเฟซบุ๊กบ่อยๆ คงรู้ว่าเราสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียดมาก จะขาดก็แค่กลยุทธ์ในการเลือกให้ชัดเจนเท่านั้นเอง
ซึ่งข้อดีของการตลาดออนไลน์ หรือ Digital Marketing ในข้อนี้คือการที่เราสามารถวัดผลตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายที่คิดไว้แต่แรกได้ ว่าตกลงแล้วกลุ่มเป้าหมายนี้ทำ ROI หรือกำไรให้เราดีพอหรือเปล่า
หรือข้อความที่คิดว่าดีกลับไม่ปังอย่างที่คิด เราก็สามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาโฆษณาแบบ Real time ครับ
3. Interactivity มีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่
การตลาดออฟไลน์หรือ Traditional Marketing นั้นผู้คนที่เห็นโฆษณาไม่สามารถมีส่วนร่วมกับโฆษณานั้นได้อย่างเต็มที่ เห็นบิลบอร์ดแล้วชอบไม่ชอบก็ไม่รู้ เห็นจริงๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้ เห็นแล้วซื้อเลยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผิดกับการตลาดออนไลน์ Digital Marketing ที่รู้ชัดว่ามีคนเห็นกี่คน เห็นทั้งหมดกี่ครั้ง เห็นแล้วกดไลก์ แชร์ หรือซ่อนโพสโฆษณาชิ้นนั้นไม่ให้เห็นอีก
แถมเห็นแล้วกดซื้อเลยหรือเปล่าก็รู้ หรือรู้กระทั่งว่ากลับมาซื้ออีกทีในอีกสามวันข้างหน้าด้วยซ้ำ
เราสามารถเห็นการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมายได้แบบ Real-time ช่วงเวลาไหนคนชอบกดเยอะๆ วันไหนคนเห็นโฆษณาเราบ่อยๆ ทั้งหมดนี้นำมาสู่ข้อถัดไปครับ
4. Measuring results วัดผลได้ทันทีอย่างแม่นยำ
เดิมทีการจะวัดผลสื่อโฆษณาออฟไลน์นั้นเป็นเรื่องที่ลำยากที่จะวัด แถมยังยากที่จะถามหาความแม่นยำได้ ส่วนสื่อออนไลน์นั้นเป็นคนละเรื่องเลย การวัดผลนั้นแสนง่าย แค่ใส่โค้ดสั้นๆ เข้าไปในชิ้นงานโฆษณา ไม่ว่าจะด้วยเครื่องมืออย่าง Google Analytics หรือ Facebook Ads Manager หรือใดๆ ก็ตาม
พอเรารู้ชัดเจนอย่างทันทีทันใด ก็สามารถนำไปสู่การปรับกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่ไม่เวิร์คก็ไม่รู้ แล้วก็ปล่อยเงินไหลทิ้งไปเรื่อยๆ ครับ
5. Cost ใช้งบการตลาดอย่างคุ้มค่า
พอการตลาดออฟไลน์เดิมยากวัดผล ก็ส่งผลให้การใช้งบการตลาดไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไหร่ เหมือนที่นักธุรกิจชื่อดังในตำนานเคยบอกว่า “ผมรู้ว่าเงิน 50% ที่ใช้ทำการตลาดนั้นสูญเปล่า แต่ปัญหาคือผมไม่รู้ว่าครึ่งไหน”
นั่นก็เพราะพอวัดผลไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องปรับงบการตลาดอย่างไรให้เวิร์คขึ้นกว่าเดิม แต่พอเป็นการตลาดออนไลน์นั้นเป็นคนละเรื่องกัน
เพราะเมื่อเราวัดผลได้อย่างง่ายดายและแม่นยำ ก็นำมาสู่การปรับงบการตลาดให้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น ตรงไหนที่ทำแล้วยอดขายไม่มาก็งด ตรงไหนที่ทำแล้วโตก็ใส่งบเพิ่มครับ
ไปจนถึงการวัดผลตาม Customer Journey กว่าจะมาเป็นลูกค้าเราต้องใช้งบการตลาดเท่าไหร่ จะได้รู้ว่าเราสามารถใช้งบการตลาดได้มากขึ้นไหม หรือเราควรต้องรีบใช้ให้น้อยลงโดยด่วนครับ
สรุป 5 จุดต่างสำคัญระหว่าง Traditional Marketing กับ Digital Marketing การตลาดออนไลน์คืออะไร ต่างจากการตลาดออฟไลน์อย่างไร
บทความนี้เป็นบทความแรกที่ผมลองใช้ AI GPT ของ Openai มาช่วยเขียน เมื่อผมลองถาม AI ถึงความต่างระหว่างการตลาดออฟไลน์โลกเก่า กับการตลาดออนไลน์โลกใหม่ เจ้า AI ChatGPT ก็สรุปเนื้อหาออกมาได้ชัดเจนไม่เยิ่นเย้อ ผมก็เลยลองเอามาเป็นไอเดียในการทำคอนเทนต์อธิบายเรื่องนี้อย่างง่ายๆ แล้วก็ใส่ประสบการณ์ส่วนตัวเข้าไปอีกหน่อย บวกบริบทใกล้ตัวเข้าไปอีกนิด
พอเห็นภาพอนาคตของการทำงานร่วมกับ AI จริงๆ กันไหมครับ
ผมบอกได้เลยว่าอนาคตคนเก่งจะเก่งขึ้นได้ง่ายและไวมาก ส่วนอนาคตของคนกลางๆ จะดูน่าเป็นห่วงอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเครื่องมือถูกพัฒนาให้เราทำงานดีๆ ได้ง่ายขึ้น คนส่วนใหญ่มักคิดว่าชีวิตเราจะสะดวกสบายขึ้น แต่ในความจริงแล้วไม่เลยครับ เพราะจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เห็นโอกาสใหม่ๆ จากเครื่องมือที่เพิ่งเกิดขึ้นมา แล้วพวกเขาก็จะใช้เครื่องมือนี้อย่างดุดัน จนทำให้พวกเขาสร้างความต่างชั้น หรือทำให้ความเหลื่อมล้ำเพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง
อยากลองรู้จัก AI ChatGPT เพิ่มเติม เข้าไปลองเล่นและมีประสบการณ์ด้วยตัวเองที่ลิงก์นี้ได้เลยครับ
