ร้านสะดวกซื้อแบบ Personalized Store ที่ให้คุณเลือกเองได้ว่าอยากให้มีอะไรวางขาย

จากหนังสือการตลาดแบบรู้ใจ Personalized Marketing ที่ขายดิบขายดีจนตอนนี้พิมพ์ครั้งที่ 3 แล้ว(ขอขายของหน่อย)ก็เลยอยากเขียนการตลาดแนวนี้เพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย เผื่อว่าจะเป็นเนื้อหาเพิ่มเติมในฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 ว่าแม้แต่ธุรกิจเก่าแก่และเป็นออฟไลน์อย่างร้านสะดวกซื้อหรือ Convenience store นั้นก็ยังสามารถทำให้เป็น Personalization ด้วยการเปิดโอกาสให้ลูกค้าในละแวกนั้นเลือกสินค้าที่จะเข้ามาวางขายที่ชั้นในร้านได้เองแบบตามใจอีกด้วยครับ

ที่ประเทศฟินแลนด์มีแบรนด์ร้านสะดวกซื้อที่ชื่อว่า Alepa อารมณ์ก็คล้ายๆ 7-Eleven ในบ้านเรานี่แหละครับ เพราะเขามาสาขามาถึง 1,600 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ แถมยังขยายออกไปยังพื้นบ้านอีกกว่า 240 สาขาด้วย เมื่อพวกเขาพบว่าธุรกิจร้านสะดวกซื้อในวันนี้นั้นไม่ง่าย จนต้องหา Business strategy ใหม่ๆ ว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้าในละแวกร้านเลือกเราที่ไม่ใช่เพราะแค่มีราคาที่ถูกกว่าเท่านั้น

ก็เลยเกิดเป็นแคมเปญการตลาดที่ชื่อว่า Block Wish ที่เปิดโอกาสให้คนแถวนั้นสามารถเข้าไปบอกทางแบรนด์ได้ว่าอยากให้มีสินค้าอะไรเข้ามาวางขายที่ร้าน Alepa ใกล้บ้านหรือใกล้ที่ทำงานตัวเองครับ

โดยปกติไม่ว่าร้านสะดวกซื้อประเภทไหนก็บอกได้เลยว่าลูกค้าคนซื้อไม่เคยมีโอกาสได้เลือกสินค้าที่ตัวเองอยากได้จริงๆ ให้มาวางขายเลยสักครั้ง เราได้แต่ต้องซื้อในสิ่งที่ร้านมีเท่านั้น หรือถ้าไม่มีในสิ่งที่เราอยากได้จริงๆ เราก็ทำได้แค่สองอย่าง คือซื้ออะไรที่มันพอจะแทนกันได้ หรือไม่ก็ตัดใจไม่ซื้อมันสะเลย

แต่ด้วยแคมเปญ Alepa Block Wish ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าบ้านใกล้ร้านได้บอกทางร้านผ่าน Chatbot บน Facebook messenger ว่าตัวเองอยากให้มีอะไรมาวางขาย และภายใน 48 ชั่วโมงเท่านั้นแหละ รับรองได้เลยว่าคุณจะได้เห็นของสิ่งนั้นที่คุณต้องการที่สาขาใกล้บ้านคุณแน่นอนครับ!

และด้วยการเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจแบบนี้เองทำให้ทาง Alepa ก็ต้องปรับตัวในการจัดส่งสินค้าใหม่ เพราะต้องรีบเอาของที่คนละแวกร้านต้องการไปวางขายให้ทันในระยะเวลา 48 ชั่วโมงที่สัญญาไว้

และสินค้าไหนที่ทางแบรนด์ไม่สามารถหามาได้จริงๆ เขาก็ไม่ได้ตัดคำขอของคุณทิ้งไปเฉยๆ แต่เขาจะเลือกหาของที่ดีที่สุดที่สามารถทดแทนกันได้มาวางขายแทน เป็นอย่างไรครับ เห็นถึงความพยายามตั้งใจสร้าง Brand Experience ที่เหนือกว่าการทำโฆษณาใดๆ ทั้งปวงมั้ย

และสินค้าที่อยู่ในชั้นพิเศษจากแคมเปญ Block Wish นี้ก็จะมีป้ายพิเศษกำกับไว้ให้ลูกค้าได้รู้ว่าของชิ้นนี้ถูกเลือกเข้ามาโดยใคร แน่นอนว่าการมีชื่อกำกับแบบนี้ยิ่งทำให้ลูกค้าคนธรรมดารู้สึกรักแบรนด์นี้มากกว่าแบรนด์ไหนๆ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าวันหน้ากระดาษทิชชู่หมด หรือเกิดหิวน้ำขึ้นมา พวกเขาจะเลือกเดินเข้าร้านสะดวกซื้อร้านไหน และจะเป็นร้านไหนไปได้ถ้าไม่ใช่ Alepa

เพราะจากการสำรวยโดย Deloitte ก็บอกให้รู้ว่าในวันนี้ผู้คนในร้อนดั่งไฟอดทนรออะไรไม่ได้ แต่ถ้าเป็นสินค้าหรือบริการในแบบ Personalized ผู้คนกว่าครึ่งหรือมากถึง 48% บอกว่าพวกเขายินดีรอด้วยความใจเย็น และยังมีลูกค้าอีกกว่า 20% ที่บอกว่าพวกเขายอมจ่ายให้กับความเป็น Personalization เพิ่มขึ้นถึงอีก 20% ด้วยครับ

ดังนั้นจากการที่ Alepa ทำแคมเปญ Block Wish เพื่อให้ร้านสะดวกซื้อของตัวเองต่างจากคู่แข่งด้วยการให้พื้นที่ชั้นวางของในร้านสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการในละแวกร้านให้เป็นแบบ Personalized ย่อมส่งผลให้ผู้คนอยากเดินเข้าร้านนี้มากกว่าร้านอื่น ทำให้ผู้คนในละแวกนั้นรู้สึกว่าร้านนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่มีความรู้สึกดีต่อกัน

เพราะจากการเก็บข้อมูลพบว่าลูกค้ากว่า 1 ใน 5 มักจะหยิบสินค้าในชั้นพิเศษนี้ติดมือไปด้วยทั้งนั้น และนั่นก็ทำให้สินค้านี้แม้จะขายแพงกว่านิดหน่อยก็ยังขายดีกว่าร้านอื่นด้วยกัน นั่นก็เพราะผู้คนในวันนี้ต่างอยากสนับสนุนความเป็นชุมชนมากขึ้นนั่นเองครับ

เป็นอย่างไรครับกับร้านสะดวกซื้อแบบ Personalized Convenience Store ที่ให้คนเข้ามาบอกได้ง่ายๆ ว่าพวกเขาต้องการอะไรผ่าน Chatbot ทาง Facebook Messenger ครับ

เบื้องหลัง Insight ว่าทำไมต้องให้คนบอกว่าอยากได้อะไรผ่าน Chatbot ก็ไม่ใช่เพราะต้องการให้ง่ายหรือสะดวกสบายแต่อย่างไร แต่ส่วนหนึ่งเพราะคนแถบสแกนดิเนเวียนนั้นไม่ต้องการพูดคุยกับพนักงานหรือผู้ให้บริการเท่าไหร่ครับ

ไว้คราวหน้าผมจะเอาเคสการตลาดของชาวสแกนดิเนเวียนมาเล่าให้เพื่อนๆ การตลาดวันละตอนได้ฟังอีกครั้ง ถึงการให้บริการแบบเงียบเชียบที่ดูเหมือนไร้อารมณ์ แต่กลับถูกใจคนสแกนดิเนเวียนที่สุดเลยครับ

อ่านการตลาดแบบ Personalization ของการตลาดวันละตอนต่อ > https://www.everydaymarketing.co/tag/personalization/

Source > https://www.warc.com/content/paywall/article/Alepa_Block_Wish/125627