4 ขั้นตอนการตลาด Personalization กับหน้าร้าน Offline Retail

4 ขั้นตอนการตลาด Personalization กับหน้าร้าน Offline Retail

วันนี้จะพามารู้จัก 4 ขั้นตอนการทำการตลาดแบบรู้ใจ Personalization กับธุรกิจที่มีหน้าร้าน Offline ประเภท Retail ครับ

ข้อดีของการตลาดแบบออฟไลน์ Physical Marketing คือการที่พนักงานของเราสามารถสร้าง Customer Experience ที่ดีให้กับลูกค้าได้ คิดภาพง่ายๆ เวลาเราเข้าไปช้อปปิ้งแบรนด์หรูๆ เวลาพนักงานใส่ใจดูแลเราเป็นอย่างดี จำได้ว่าเราเคยมาซื้ออะไรไป หรือเรียกข้อมูลจากในระบบผ่าน iPad หรือมือถือขึ้นมาดู แล้วก็สามารถต่อบทสนทนาที่เคยคุยค้างไว้ได้ในช่วงเวลานั้นๆ นั่นแหละครับคือสเน่ห์หรือจุดแข็งของการตลาดออฟไลน์ ที่การทำ Digital Marketing หรือการตลาดออนไลน์ทั่วไปยากจะมาแข่งขันได้

เพราะข้อดีของการตลาดออนไลน์คือความสามารถให้บริการคนจำนวนมากๆ ได้พร้อมกัน ผิดกับการตลาดออไลน์ที่สามารถดูแลลูกค้าได้แค่ทีละคนเท่านั้น แต่ข้อเสียของการตลาดออนไลน์ส่วนใหญ่ที่รู้กันคือ มันไม่ค่อยฉลาด มันไม่ค่อยเข้าใจ มันไม่ค่อยมีหัวใจ เพราะมันจำอะไรไม่ค่อยได้ และมันก็ไม่เคยรู้ว่าเราต้องการอะไรกันแน่

มันเลยเกิดศาสตร์ใหม่ที่เรียกว่า Omichannel Marketing หรือการตลาดแบบเชื่อมต่อกันทุกช่องทาง สามารถรู้ได้ว่าลูกค้าคนนี้คือใคร เคยมีประวัติในแต่ละช่องทางเป็นแบบไหน จนทำให้รู้ว่าตอนนี้เราควรต้องทำการตลาดกับลูกค้าคนนี้อย่างไร หรือแม้แต่ควรต้องส่ง Marketing Message แบบไหนออกไปกันแน่

4 ขั้นตอนการตลาดแบบรู้ใจ Personalization ที่มีหน้าร้าน Offline Retail หลากหลายสาขา ว่าจะยกระดับ Customer Experience ด้วย CDP ได้อย่างไร

แต่ความยากคือการจะทำ Data Integration เชื่อมต่อข้อมูลนี่แหละ เมื่อเรามีดาต้าจากหลาย source เราต้องมีตัวกลางที่ทำหน้าที่เชื่อมดาต้าทั้งหมดให้ได้ก่อน ทางออกวันนี้คือการใช้ CDP Customer Data Platform และจาก Case Study ของ Segment CDP เองก็ทำให้เห็นแนวทางการใช้ CDP มากมาย ที่ไม่ได้จำกัดว่าต้องออนไลน์เท่าไหร่ แต่ยังสามารถใช้กับออฟไลน์ได้ด้วย

การทำ Data Integration หรือการทำ Customer 360 นั้นสำคัญกับธุรกิจประเภท Retial ที่มีหน้าร้านอย่างมาก เพราะถ้าเราไม่รู้ว่าตกลงแล้วลูกค้าคนนี้มาจากการใช้งบการตลาดออฟไลน์หรือเปล่า เราก็จะวาง Strategy ผิด ทำให้เราเพิ่มงบโดยสูญเปล่า หรือเผลอตัดงบจนธุรกิจพังเพราะวัดผลไม่ได้ว่าตกลงแล้วลูกค้าแต่ละคนนั้นได้มาจากการทำ Digital Marketing เท่าไหร่

จากปัญหาดังกล่าวทำให้นักการตลาดจำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญกับ Channel แทนที่จะเป็น Customer เพราะมันง่ายกว่าในการทำงานของตัวเองให้เสร็จ แต่มันไม่ประสบความสำเร็จในการจะทำให้แผนการตลาดนั้นประสบความสำเร็จเท่าไหร่ครับ

ส่วนทีมการตลาดฝั่งหน้าร้านหรือ Retail Marketing ก็ให้ความสำคัญกับการขาย หรือพนักงานขายเป็นส่วนใหญ่ จนไม่ได้เรียนรู้การใช้ Digital Marketing เพื่อเสริมความสามารถของพนักงานขายให้ดีขึ้นสักเท่าไหร่ครับ

ลองคิดภาพดูนะครับว่าจะดีขนาดไหนถ้า Digital Marketing สามารถทำหน้าที่สร้าง Customer Experience ได้ดีในระดับพนักงานขายคนหนึ่งได้ แล้วยิ่งได้ความถนัดของการออนไลน์ คือการสามารถดูแลลูกค้าเป็นหมื่นๆ แสนๆ รายได้พร้อมกัน

บวกกับพนักงานขายหน้าร้านก็จะได้ใช้เครื่องมือในการช่วยยกระดับการบริการลูกค้าไปพร้อมกัน และยังสามารถช่วยเก็บ Customer Data ให้เราได้ด้วย บอกได้เลยว่าการจะเป็นบริษัทที่ใช้ Data-Driven Marketing จะไม่ใช่เรื่องยากเกินไปหรือไกลเกินเอื้อมอีกต่อไปแล้ว

ดังนั้นเราเลยต้องมาดูว่าเราจะทำการตลาดแบบ Personalization กับการตลาดแบบ Offline Retail ได้อย่างไรบ้าง กับ 4 ขั้นตอนการทำ Personalized Marketing การตลาดแบบรู้ใจที่เอาดาต้าจากดิจิทัลมายกระดับ Customer Experience ให้ดีขึ้น

4 ขั้นตอนการตลาด Personalization กับหน้าร้าน Offline Retail

1. Event Analytics & Customer Segmentation

4 ขั้นตอนการตลาดแบบรู้ใจ Personalization ที่มีหน้าร้าน Offline Retail หลากหลายสาขา ว่าจะยกระดับ Customer Experience ด้วย CDP ได้อย่างไร

เชื่อมโยง Customer Data ที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกันเพื่อการวิเคราะห์ที่แม่นยำขึ้นจนสามารถแยกออกได้ว่าตกลงลูกค้าแต่ละคนคือใคร และต่างกันอย่างไร เช่น คนนี้เคยเข้าเว็บ E-commerce เรามาก่อนนะ แต่ยังไม่เคยซื้อเลย แต่ตอนนี้อยู่ที่หน้าร้านสาขาหนึ่งเราเรียบร้อยแล้ว หรือ คนนี้อยู่ในกลุ่มลูกค้าประจำนะ แต่ปกติซื้อออนไลน์ตลอด แต่วันนี้มาอยู่แถวร้านสาขาใกล้บ้านเขา ครั้งล่าสุดเขาเพิ่งดูสินค้าชิ้นหนึ่งมาเมื่อสามวันก่อน แต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ

จากการเชื่อมโยง Event Data ที่เกิดขึ้นบนออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน ทำให้รู้จักลูกค้ามากขึ้น คาดเดา Consumer Insight ได้ดีขึ้น และนั่นก็นำไปสู่การทำ Customer Segmentation จัดกลุ่มลูกค้าที่คล้ายกันเข้าด้วยกัน เพื่อนำไปสู่การทำ Marketing ต่อไป

2. Activation & Automation ทำการตลาดออกไปตามสถานการณ์ที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า

4 ขั้นตอนการตลาดแบบรู้ใจ Personalization ที่มีหน้าร้าน Offline Retail หลากหลายสาขา ว่าจะยกระดับ Customer Experience ด้วย CDP ได้อย่างไร

ขั้นตอนที่ 1 เรารู้แล้วว่าใครเป็นใคร เรารู้ว่าใครอยู่ใน Segment ไหน ก็ถึงเวลาที่เราต้องทำการตลาดออกไปแบบ Personalized Marketing ผ่านเครื่องมือประเภท Campaign Activation ของ CDP ต่างๆ ที่เป็น Journey Builder ที่เราสามารถกำหนด Marketing Campaign ล่วงหน้าได้

เช่น ลูกค้าที่เข้าข่ายแบบนี้จากพฤติกรรมออนไลน์และออฟไลน์ เราจะต้องทำการตลาดแบบไหน มันคือการคิดไว้ล่วงหน้า หรือที่ผมเรียกว่า Markerting Scenario Design ถ้าลูกค้า Action เราจะทำอย่างไรต่อ หรือถ้าลูกค้ายังไม่ Action เราจะใช้แผนไหนต่อเพื่อ Trigger ให้เขาทำในสิ่งที่เราต้องการ

สมมติ เรารู้แล้วว่าลูกค้าคนนี้เพิ่งดูสินค้าสองสามชิ้นจากหน้าเว็บมาหลายครั้ง ในระยะเวลาไม่กี่วันก่อน ตอนนี้เรารู้ว่าเขาอยู่ที่หน้าร้านผ่าน Mobile App ของเราที่ลูกค้าอนุญาตให้เขาถึงข้อมูล GPS ได้ตลอดเวลา เราจะไม่มานั่งคิดและทำการตลาดแบบสดๆ ใหม่ๆ ทุกครั้ง สิ่งที่เราต้องทำในวันนี้คือการวางแผนล่วงหน้า ถ้าเจอในสถานการณ์แบบนี้กับลูกค้ากลุ่มนี้เราจะทำการตลาดแบบไหน

ส่งคูปองส่วนลดสิ้นค้าที่เพิ่งดูไปเลยไหม ในกรณีที่ใจร้อนกลัวปิดการขายไม่ได้ หรือถ้าจะมีสเน่ห์หยิ่งๆ หน่อย อาจส่ง Notification เพิ่มเติมออกไปด้วยการบอกว่า สินค้าที่เพิ่งดูมาไม่กี่วันก่อน ตอนนี้มีพร้อมให้ลองที่สาขาใกล้ๆ เดินไปไม่กี่นาทีถึง

พอนึกภาพออกใช่ไหมครับ ข้อดีคืองานการตลาดจะแบบเป็นแผนมากขึ้น แต่ข้อเสียคือการงานตลาดยุค Data-Driven Marketing & Personalization จะมีรายละเอียดยุบยับให้คุณทำมากมายไม่รู้จบ

3. Personalized Communication ส่งข้อความที่ใช่ออกไปให้ตรงใจแต่ละคนมากที่สุด

4 ขั้นตอนการตลาดแบบรู้ใจ Personalization ที่มีหน้าร้าน Offline Retail หลากหลายสาขา ว่าจะยกระดับ Customer Experience ด้วย CDP ได้อย่างไร

จากขั้นตอนที่สอง เรารู้แล้วว่าจะต้องทำการตลาดกับใคร อย่างไร มันคือการทำ Personalization Strategy หรือที่ผมเคยทำขึ้นมาเป็น CRM Strategy Canvas ในขั้นตอนที่ 3 จะต่างกับขั้นตอนที่ 2 นิดนึง มันคือการลงรายละเอียดของแต่ละ Marketing Message ที่จะส่งออกไป

คนนี้ชื่ออะไร สะดวกชื่อให้ถูก เขาสะดวกให้เราติดต่อผ่านช่องทางไหนเป็นหลัก อาจจะเป็นอีเมล หรือ SMS ก็ได้ (แต่ถ้าส่ง SMS ต้องแน่ใจว่าส่งไปเบอร์หลักที่เขาใช้ ไม่ใช่ส่งไปเบอร์ออฟฟิศที่อาจจะเลิกใช้ไปแล้ว) หรืออาจจะเป็น Notifacation ในแอปก็ตาม

สถานที่ หรือสาขาที่ลูกค้าคนนี้อยู่ใกล้คือที่ไหน ตรงไหนที่เขาสะดวก ช่วงเวลาไหนที่ควรส่ง เราต้องแม่นเรื่องเวลาในการทำการตลาดกับลูกค้าด้วย

ฟังดูเหมือนง่ายแต่ไม่ยาก แต่มันคือความละเอียด ละเมียด ใส่ใจ คิดในมุมลูกค้าให้มากว่าถ้าเราเป็นลูกค้า เราได้ประสบการณ์แบบไหนถึงจะรู้สึกประทับใจกับการตลาดของเรา

ถ้าตัวเราเองยังไม่ชอบอย่าหาทำ ใช้ Common sense ส่วนตัวช่วยตัดสินใจได้ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่มี Common Sense คล้ายๆ กัน ยกเว้นคุณเป็นคนส่วนน้อยที่ไม่มี Common Sense ในการเข้าใจคนอื่นสักเท่าไหร่ อันนี้ยกงานนี้ให้คนอื่นทำดีกว่าครับ

4. Collaboration กับ Operation Team ออกแบบระบบให้พนักงานหน้าร้านช่วยเก็บ Customer Data ให้เราด้วย

Photo: https://retool.com/

การเก็บ Customer Data ของ Marketing Team จะประสบความสำเร็จมากขึ้นถ้าเราได้ความร่วมมือจากทุกคนในบริษัท และจากประสบการณ์ไปเป็นที่ปรึกษา Data-Driven Advisor มาก็หลายบริษัท พบว่าถ้าบริษัทไหนพนักงานหน้าร้านช่วยเก็บข้อมูล จะมีดาต้ามากมายให้ทีมากมายให้ทีมการตลาดและ Business Development เอาไปต่อยอดได้มหาศาล

ดังนั้นเราต้องออกแบบ Process & Tool ให้คนหน้างานสะดวกในการช่วยเก็บดาต้าให้เรา อีกสิ่งสำคัญคือต้องออกแบบ KPI ให้กับคนหน้างานต้องทำด้วย ไม่งั้นลำพังแค่ขอความร่วมมืออย่างเดียว มักไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่

แล้วการทำงานระหว่างหน้าบ้านกับหลังบ้านจะเป็นไปได้ด้วยดี คุณจะเป็นบริษัทที่พร้อมใช้ Data-Driven Marketing ไวกว่าที่คิดเอาไว้มากครับ

สรุป 4 ขั้นตอนการตลาด Personalization กับหน้าร้าน Offline Retail

4 ขั้นตอนการตลาดแบบรู้ใจ Personalization ที่มีหน้าร้าน Offline Retail หลากหลายสาขา ว่าจะยกระดับ Customer Experience ด้วย CDP ได้อย่างไร

พอเห็นภาพและแนวทางการทำ Personalization หรือการตลาดแบบรู้ใจกับหน้าร้าน Offline Retial ของเราบ้างไหมครับ สำคัญคือคุณต้องมีทั้ง Tech และ Talent ที่ดีควบคู่กัน

เครื่องมือต้องพร้อมให้คนทำงาน และคนต้องพร้อมทำงานนี้อย่างจริงจัง เอาลงทุนแต่การจ้างคนมาทำงานโดยไม่ลงทุนในเครื่องมือจนสุดท้ายคนที่จ้างมาก็ทำอะไรไม่ได้ หรืออย่าลงทุนแต่ในเครื่องมือโดยไม่ลงทุนกับคน ด้วยการยัดงานใหม่เพิ่มให้คนเก่า จนเขาไม่มีเวลาในการโฟกัสอะไรสักอย่าง

จากประสบการณ์เข้าไปช่วยให้คำปรึกษาเรื่อง Data-Driven Marketing มาพอสมควร ถ้าไม่อยากจ้างคนใหม่มาทำงานนี้เลย ก็แนะนำให้หาคนในที่ดูแล้วชอบทำเรื่องนี้ มาเป็นหัวหอกหลักในการทำงานนี้ แต่ต้องถอดงานเก่าที่เคยรับผิดชอบออกด้วย ไม่อย่างนั้นเขาก็จะไม่มีเวลาทำ Data อย่างจริงจังครับ

แล้วคุณจะ Consumer Insight ใหม่ๆ จาก Data มากมายที่คาดไม่ถึง เช่น Golder Period ช่วงเวลาที่ลูกค้าชอบกลับมาซื้อซ้ำโดยที่เราไม่เคยรู้ พอรู้แล้วเราจะทำอย่างไรต่อ ที่เหลือคือส่วนของ Creativity ของ Marketing Team แล้วหละครับ

อ่านบทความชุดการตลาดแบบรู้ใจ Personalized Marketing ในการตลาดวันละตอนต่อ > https://www.everydaymarketing.co/tag/personalization/

Source: https://segment.com/recipes/increase-loyalty-and-revenue-by-personalizing-in-store-pickup-experience/

Nattapon Muangtum

เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน / อาจารย์พิเศษวิชา Data-Driven Communication / เขียนหนังสือมาแล้ว 5 เล่ม Personalized Marketing, Data-Driven Marketing, Data Thinking, Contextual Marketing และ Social Listening / ที่ปรึกษา Data-Driven Advisor

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

คุณคิดว่าปัญหา PM 2.5 ที่เชียงใหม่วิกฤตหรือยัง ?

#การตลาดวันละโพล ขอหนึ่งคำถามก่อนอ่านการตลาดวันละตอน แล้วเราจะเอาไปทำเป็น Infographic โชว์หน้าเพจให้รู้ด้วยกัน