น้อยแต่มาก! การตลาด Minorchange ทำอย่างไรให้ได้ Major Impact
พาทุกคนมารู้จัก การตลาด Minorchange จากที่หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องจิตวิทยาการใช้สีกับการตลาด หรือการสร้างแบรนด์กันมาบ้างแล้ว ว่าสีต่างๆ นั้นสามารถสื่อถึงข้อความ แทนอารมณ์ความรู้สึกได้ รวมถึงช่วยในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้ ในบทความนี้แบมก็จะมาพูถึงจิตวิทยาสีเช่นกัน แต่ไม่ใช่การใช้สีเพื่อสร้างแบรนด์ หรือบ่งบอกตัวตนของแบรนด์ในแบบที่เราคุ้นเคยกัน แต่จะมาพูดถึงการใช้สีเพื่อสร้าง Awareness และทำการตลาดแบบ Minorchange กันค่ะ
การตลาดแบบ Minorchange คืออะไร
คำว่า Minorchange เกิดขึ้นครั้งแรกในแวดวงธุรกิจรถยนต์ เนื่องจากสมัยก่อนตลาดรถยนต์นั้นมีการแข่งขันค่อนข้างสูง การใช้โปรโมชัน หรือแคมเปญทางการตลาดอย่างเดียว อาจไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้เท่าที่ควร ทำให้บริษัทรถยนต์หลายๆ เจ้าจึงพยายามออกมาแก้เกม กระตุ้นยอดขายด้วยกลยุทธ์ Minorchange
โดยการนำข้อด้อยรวมถึงข้อติชมของลูกค้าที่ใช้งานรถยนต์รุ่นเดิมมาปรับปรุง เปลี่ยนแปลงให้น่าใช้งาน ตรงใจ เรียกได้ว่าปรับโฉมใหม่เพื่อเรียกร้องความสนใจและทำให้สามารถตอบสนองการใช้งานของลูกค้าได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น
กลยุทธ์ Minorchange มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคแต่ไหน
อย่างที่บอกไปว่ากลยุทธ์แบบ Minorchange นั้นเป็นการเอาของเก่ามาพัฒนาใหม่ ด้วยการปรับโน่นนิด นี่หน่อย เพื่อแก้ไขข้อด้อย หรือจุดบกพร่องของรถรุ่นเดิม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้อาจจะเป็นการปรับปรุงในเรื่องของฟังก์ชันการใช้งาน อุปกรณ์เสริม หรือรูปลักษณ์ภายนอกบางส่วน เช่นไฟท้าย กระจังหน้า ดีไซน์มือจับ หรือกระจกมองข้าง เป็นต้น
ซึ่งปัญหาก็อยู่ตรงการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนี่แหละค่ะ เพราะถึงแม้ว่าโมเดลรถรุ่น Minorchange จะถูกพัฒนาให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันในความรู้สึกของผู้บริโภคกลับสวนทางกัน โดยลูกค้ามักมองว่าไม่มีอะไรแตกต่างจากของเดิมมากนัก ขับออกไปตามท้องถนนคนก็ดูไม่ออกว่าเป็นโมเดลใหม่ จึงทำให้หลายคนคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนรถ และบางคนก็เลือกที่จะรอซื้อรถยนต์รุ่นใหม่ไปเลยดีกว่า
ซึ่งเหตุผลเหล่านี้เองที่ทำให้ยอดขายของรถรุ่น Minorchange ไม่กระเตื้องขึ้นเท่าที่ควรจะเป็น
“สีสัน” เกี่ยวข้องกันอย่างไรในเกม Minorchange
จากปัญหาที่ว่าทำให้ฝั่ง Marketing คิดกันอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ดี จนที่สุดแล้วก็ได้มีการทดลองนำจิตวิทยาสีมาใช้
โดยทุกครั้งที่ออกโมเดล Minorchange นอกจากทางบริษัทจะทำการปรับโฉม ปรับฟังก์ชันแล้ว ก็จะทำการเพิ่มสีใหม่ประจำรุ่นเข้าไปด้วย เช่น ปกติรถรุ่น A จะมีสีหลักให้เลือ กเพียง 4 สี คือ สีขาว สีบรอนซ์เงิน สีดำ และสีน้ำตาล แต่โมเดล Minorchange นั้นจะมีสีพิเศษเฉพาะรุ่นเพิ่มมาเป็นสีแดงเบอร์กันดี อย่างนี้เป็นต้น
ทำให้คนที่มาซื้อรถในโมเดล Minorchange รู้สึกถึงความโดดเด่นและเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนขึ้น เรียกว่าแค่เปลี่ยนสี พหือเพิ่มสีใหม่ก็มีผลต่อใจ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าตัวเองซื้อของรุ่นใหม่ ไม่ซ้ำเดิม จึงช่วยกระตุ้นยอดขาย และช่วยให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อรถในโมเดล Minorchange ได้ง่ายขึ้น
การประยุกต์ใช้การตลาดแบบ Minorchange ในปัจจุบัน
สำหรับหลักการ Minorchange ในปัจจุบันนั้น ไม่ได้ใช้แค่ในกลุ่มธุรกิจรถยนต์เท่านั้น แต่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจอื่นๆ ได้ด้วย เช่น กลุ่มสินค้าประเภท Smart Phone ที่บางครั้งก็ออกมาถี่ ออกรุ่นย่อยมาปีละครั้ง ปรับความโค้ง ปรับความคมชัดกล้อง เพิ่มความอึดแบตเตอรีขึ้นอีกนิดหน่อย
แต่ด้วยความที่สมาร์ทโฟนในปัจจุบันนั้นถือเป็นอีกหนึ่งหมวดสินค้าแฟชั่น การเปลี่ยนแปลงฟังก์ชันภายในนั้นอาจไม่สามารถกระตุ้นความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้มากเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นการเพิ่มสีใหม่ๆ เข้ามา จะจูงใจให้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายอยากได้มาครอบครองมากกว่า เป็นหนึ่งในจิตวิทยาการตลาดที่ทำให้เขาเหล่านั้นรู้สึกภูมิใจ เป็นสายแฟผู้นำเทรนด์ ทันสมัย ไม่ตกยุคนั่นเอง
นอกจากนี้ในฝั่งของค่ายรถยนต์เองก็เริ่มมีการเอาจิตวิทยาเรื่องสีมาใช้ในมุมอื่นๆ เช่น การล็อกสีพิเศษ ไว้ให้เฉพาะกับตัวท็อปของรุ่นเท่านั้น เรียกได้ว่าถ้าเห็นรถรุ่นนี้ สีนี้วิ่งบนท้องถนนแล้วล่ะก็ ฟันธงได้เลยว่าเป็นตัวท็อปแน่นอน
จากตัวอย่างที่แบมเล่ามา จะเห็นได้ว่าการเดินเกมการตลาดแบบ Minorchange นั้นสามารถทำได้หลากหลาย แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการเปลี่ยนใจคน
เพราะฉะนั้น นอกจากนักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจจะวางกลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนให้ดี เพราะแม้จะเป็น Minorchange แต่ถ้าจะให้ดึงดูดผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้ ก็ต้องทำให้ Major Impact ด้วย