Fashion Showcase Campaign แคมเปญเสื้อผ้าตัวอย่างไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ที่ห้าง

Fashion Showcase Campaign แคมเปญเสื้อผ้าตัวอย่างไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ที่ห้าง

สิ่งที่เบสเอามาเล่าในนี้ เบสคิดว่าน่าจะถูกใจและเป็นแรงบันดาลใจในการสร้าง Creative Campaign ของแบรนด์สายแฟชั่น โดยเฉพาะแบรนด์ไหนที่กำลังมองหา Fashion Showcase ในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองการใช้ชีวิต New Normal ของผู้บริโภคท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดที่มา ๆ ไป ๆ ได้อย่างน่าสนใจ
แคมเปญนี้มีชื่อว่า Mannequin Spectators ของแบรนด์ Oeschle ห้างสรรพสินค้าชื่อดังในประเทศเปรูครับ

Oechsle department store fashion showcase
ภาพประกอบจาก limaeasy

Fashion Showcase Campaign : Mannequin Spectators

เมื่อไม่นานมานี้เบสมีโอกาสทำ Focus Group เกี่ยวกับพฤติกรรมของการซื้อเสื้อผ้าในสมัยนี้ ของคนกลุ่ม Gen Y, Gen Z ก็พบว่าเดี๋ยวนี้เวลาจะซื้อเสื้อผ้าราคาไม่แพงมาก ส่วนใหญ่เรามักจะซื้อทางออนไลน์เป็นหลักโดยดูรูปภาพของร้านที่เป็นนางแบบ หรือ นายแบบใส่ให้ดู ประกอบการตัดสินใจในการซื้อเป็นหลัก เพราะมองว่าสะดวกสบายกว่า

ซึ่งก็มีอีกจำนวนไม่น้อยเลย สำหรับการซื้อเสื้อผ้าที่เริ่มมีราคาที่สูงประมาณนึง กลุ่มตัวอย่างมองว่าการเดินไปดูเสื้อผ้าที่หน้าร้าน การได้เห็นหรือได้สัมผัสตัวเสื้อผ้าจริง ๆ ก็ยังมีความสำคัญอยู่เหมือนกัน เพราะมีผลต่อเรื่องของความน่าเชื่อถือและการแสดงคุณค่าในตัวของแบรนด์และสินค้า

แต่ด้วยสถานการณ์เกี่ยวกับโรคระบาดก็ทำให้คนไปเดินห้างน้อยลง ทำให้มีผลกระทบต่อยอดขายสินค้าของทางห้างด้วย เพราะสิ่งที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจลูกค้าให้เกิดการซื้อมีน้อยลง

ห้าง Oeschle ในประเทศเปรูแบรนด์เจ้าของแคมเปญที่เบสกำลังจะเล่าให้ทุกคนได้อ่าน ก็มีความเข้าใจในเรื่องนี้เช่นกันครับ และพยายามมองหาโอกาสใหม่ นอกเหนือจากการส่งเสริมการขายหรือโฆษณาบน Online ที่จะเป็นการช่วยส่งเสริมการขายสินค้าประเภทแฟชั่นของพวกเขาให้มียอดขายที่ดีขึ้น

ประกอบกับในช่วงเวลานั้น โรงละคร ที่เป็นสถานที่ให้ความบันเทิงในอีกรูปแบบหนึ่งของคนเปรู ก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดเช่นกัน เพราะในช่วงระบาดหนัก ก็มีมาตรการควบคุมให้ปิดตัวลงเหมือนสถานที่ให้ความบันเทิงอื่น ๆ ทำให้โรงละครเป็นอีกธุรกิจที่ต้องมีการบริหารจัดการที่ค่อนข้างหนักเพื่อรักษาธุรกิจและทีมงานเอาไว้

เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงและได้รับการอนุญาตให้กลับมาเปิดแสดงได้แล้ว โรงละครก็ยังไม่สามารถฟื้นธุรกิจให้กลับมาได้อย่างเต็มที่อยู่ดี

เนื่องจากโรงละครยังเป็นสถานที่บันเทิงเดียวที่ติดมาตรการควบคุมเกี่ยวกับโรคระบาด ที่กำหนดว่าต้องมีเก้าอี้ไว้สำหรับคั่นกลางเพื่อป้องกันการติดต่อของโรคระบาดภายในโรงละครด้วย คิดเป็นที่นั่งราว 35% ของทั้งโรงละคร ทำให้ความจุที่นั่งของผู้ชมที่สามารถจุได้เพียงแค่ 65% เท่านั้น ต่อการแสดง 1 รอบ

แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้การแสดงละครต่อรอบได้กำไรน้อยลงพอสมควรจนถึงขั้นเป็นการแสดงละครที่ขาดทุนได้เลย

เกิดเป็นความร่วมมือระหว่าง Oeschle กับเอเจนซี่ Fahrenheit DDB ที่เล็งเห็นถึงปัญหาที่โรงละครกำลังประสบ มาผนวกกับโอกาสใหม่ ๆ ที่แบรนด์กำลังมองหาอยู่ ทำให้เกิด Fashion Showcase ที่แปลกใหม่ไปจากเดิม ในแคมเปญ Mannequin Spectators

ทางแบรนด์ตัดสินใจซื้อที่นั่งส่วนที่เหลือทั้ง 35% ของโรงละครชื่อว่า Lima’s Teatro โรงละครยอดนิยมที่เป็นที่รู้จักของคนที่ชอบดูละครเวที เพื่อใช้ในการติดตั้งหุ่นที่สวมเสื้อผ้าตัวอย่าง จากเดิมที่อยู่ในห้างมาอยู่ในโรงละคร นั่งดูการแสดงร่วมกับผู้ชมคนอื่น ๆ ไปด้วย ตลอดจนจบฤดูกาลในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี

ซึ่งทางโรงละครนั้น ก็กำลังมีการแสดงที่ชื่อว่า Todos Vuelven ที่ก็ได้รับความสนใจจากคนที่ชอบดูละครอยู่อีกด้วย

นอกเหนือจากการช่วยสนับสนุนให้โรงละครสามารถขายบัตรได้ 100% แล้ว แคมเปญนี้ยังสร้างความสนใจให้กับคนที่มาชมละครในโรงละครอย่างมากเลยครับ เพราะเมื่อเข้ามาในโรงละครแล้วพวกเขาก็ได้พบกับหุ่นที่สวมเสื้อผ้าสวย ๆ ที่น่าสนใจจนต้องเข้าไปจับไปสัมผัสดูว่าเป็นอย่างไร

แน่นอนว่าเพื่อตอบสนองการหาโอกาสในการกระตุ้นการขายของแบรนด์ ทางทีมการตลาดนี้ก็ได้มีการวาง Customer Journey รองรับไว้ด้วย โดยการติด Tag ที่มี QR Code ไว้ที่เสื้อผ้าทุกชิ้นในโรงละคร สำหรับสแกนเข้าไปยังหน้า Landing page ที่เป็น Website E-Commerce ของทางแบรนด์ ให้คนที่สนใจสามารถสั่งซื้อสินค้าได้เลย โดยไม่ต้องไปซื้อที่หน้าร้านให้เสียเวลาครับ

ได้เห็นแคมเปญแบบนี้แล้ว ก็น่าคิดเล่น ๆ เหมือนกันนะครับว่า ถ้ามันจะเกิดขึ้นในบ้านเราด้วย อาจจะเป็นในโรงละคร หรือ โรงหนังบ้านเรา ก็น่าจะเป็นแคมเปญที่น่าสนุกพอสมควรเลยว่ามั้ยครับ

บทสรุป

เบสมองว่าแคมเปญนี้เป็นอีกแคมเปญหนึ่งที่มองหาโอกาสให้กับแบรนด์ได้อย่างดีเลยครับ นอกจากจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการกระตุ้นยอดขายของตัวเองแล้ว ยังช่วยส่งเสริมธุรกิจอื่น ๆ ที่ในอนาคตจะสามารถเข้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่อาจช่วยส่งเสริมหรือต่อยอดในการทำธุรกิจต่อไปในอนาคตได้ด้วย

นอกจากนี้ การที่แบรนด์เลือก Placement ในการทำ Showcase ที่โรงละคร ทำให้แบรนด์ไม่ต้องไปแข่งขันกับคู่แข่งเจ้าอื่นอย่างบนสื่ออื่นเลย ทั้ง Online หรือ Offline ที่เป็น OOH ตามท้องถนน

เพียงแค่วาง Customer Journey ที่สะดวกและสร้างแรงกระตุ้นที่น่าสนใจให้กับลูกค้าที่ดีไว้ เบสคิดว่าก็มีโอกาสที่สามารถปิดการขายได้มากกว่าช่องทางอื่นแล้วครับ เพราะไม่มีสินค้าจากแบรนด์อื่นมาดึงดูดความสนใจจากลูกค้าของเรา ซึ่งเป็นผลดีที่จะทำให้กระบวนการตัดสินใจของลูกค้าสั้นลงและง่ายมากขึ้นมากเลยครับ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะครับ
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ 🙂

สามารถอ่านบทความอื่นๆ ของการตลาดวันละตอนได้ที่ คลิก

Ref

Watcharapon Kittipodpong

ลงมือเขียนเพื่อทบทวน และเข้าใจตัวเอง คนที่สนใจ Marketing คนหนึ่งที่อยากส่งต่อเหมือนที่ได้รับมา หวังว่าสิ่งที่เขียนจะมีประโยชน์กับคนอ่านทุกคนนะครับ :)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

ใช้ Social Listening บ้างไม่ ?

#การตลาดวันละโพล ขอหนึ่งคำถาม ว่าปกติใช้ Social Listening บ้างหรือไม่ แล้วถ้าใช้ ใช้ตัวไหนอยู่